What is IIoT? – เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโรงงานเดิม ๆ ให้กลายเป็นโรงงานอัจฉริยะ

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า IoT หรือ Internet of Things ซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับอินเทอร์เน็ต เพื่อดึงข้อมูลมาใช้งาน เช่น สมาร์ทโฟน สมาร์ททีวี หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรม คำที่เกี่ยวข้องมากกว่าคือ IIoT หรือ Industrial Internet of Things

IIoT คือ การนำเทคโนโลยีเซนเซอร์ เครื่องจักร และอุปกรณ์อัตโนมัติมาเชื่อมต่อกันในระดับโรงงาน เพื่อรวบรวมข้อมูลการทำงานแบบเรียลไทม์ แล้วนำข้อมูลนั้นไปวิเคราะห์ผ่านระบบ Cloud หรือ Edge Computing เพื่อใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในทุกมิติ

Image Not Found


ลองจินตนาการว่าโรงงานของคุณสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า

  • เครื่องจักรตัวไหนใกล้เสีย
  • สายพานกำลังมีจุดคอขวด
  • พลังงานถูกใช้เกินความจำเป็นในช่วงเวลาใด
  • หรือแม้แต่ ผลผลิตกำลังเบี่ยงเบนจากมาตรฐานโดยที่สายตาคนมองไม่เห็น

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ IIoT ทำได้

สิ่งสำคัญคือ IIoT ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีล้ำยุคสำหรับโรงงานใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในโรงงานทุกขนาด เพราะสามารถเริ่มต้นติดตั้งได้ง่าย ไม่ต้องรื้อระบบเดิม และสร้าง “ความได้เปรียบในการแข่งขัน” อย่างชัดเจน

IIoT คือก้าวแรกของการเปลี่ยนโรงงานธรรมดาให้กลายเป็น Smart Factory ที่พร้อมก้าวเข้าสู่ยุค Industry 4.0 อย่างเต็มตัว


1. ทำไม IIoT ถึงสำคัญ?

ในวันที่ใคร ๆ ก็พูดถึง “โรงงานอัจฉริยะ” ใครเริ่มก่อน ย่อมได้เปรียบก่อน

การผลิตในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุนแรงงานหรือจำนวนเครื่องจักร แต่คือการ “รู้ลึก รู้เร็ว และปรับตัวทัน” ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นได้จากการมีข้อมูลที่ดี — และ IIoT คือคำตอบ

IIoT เป็นหัวใจสำคัญของ Industry 4.0 หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับโรงงานให้คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เร็วขึ้น ด้วยข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรจริงแบบเรียลไทม์

ประโยชน์ของการใช้ IIoT ไม่ได้มีแค่ “เก็บข้อมูล” แต่รวมถึง

  • ตรวจจับความผิดปกติของระบบได้ล่วงหน้า
  • วางแผนการผลิตอย่างแม่นยำจากข้อมูลจริง
  • ลดของเสีย ลดต้นทุนซ่อมบำรุง
  • ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ปรับปรุงความเร็วและคุณภาพของสายการผลิต
  • ตอบสนองลูกค้าได้เร็วขึ้นในยุคของการผลิตแบบยืดหยุ่น (Mass Customization)
Image Not Found

ในมุมของการแข่งขัน โรงงานที่มี IIoT เปรียบเหมือน “มีตาและสมอง” อยู่ทุกจุดของสายการผลิต สามารถมองเห็นปัญหาที่คนไม่เห็น วิเคราะห์แนวโน้มได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม และปรับแผนได้ทันที ขณะที่คู่แข่งที่ยังไม่เริ่มใช้ IIoT อาจต้องเสียเวลา เสียทรัพยากร และเสียโอกาสทางธุรกิจไปแบบไม่รู้ตัว

และที่สำคัญ — โรงงานไม่จำเป็นต้องลงทุนระบบใหม่ทั้งหมดเพื่อเริ่มต้น การมี IIoT ที่ต่อยอดจากระบบเดิมได้ คือทางเลือกที่ทั้ง “เร็วกว่า” และ “คุ้มค่ากว่า” สำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล


2. ดูแลเครื่องจักรได้ฉลาดขึ้นด้วย IIoT

ไม่ต้องรอให้เครื่องพังก่อนค่อยซ่อม — IIoT บอกเราได้ก่อนว่าเครื่องไหนใกล้พัง

ในอดีต การซ่อมเครื่องจักรในโรงงานมักมีอยู่แค่ 2 แบบ

  1. รอให้เสียแล้วค่อยซ่อม (Reactive Maintenance)
  2. วางตารางซ่อมเป็นรอบ ๆ (Preventive Maintenance) แม้เครื่องจะยังไม่เสียก็ตาม

ทั้งสองวิธีนี้มีต้นทุนซ่อนอยู่ — ไม่ว่าจะเป็นการหยุดสายการผลิตแบบไม่คาดคิด หรือการเปลี่ยนอะไหล่โดยไม่จำเป็น

Predictive Maintenance หรือ “การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์” คือทางออกที่ชาญฉลาดกว่า และนี่คือจุดที่ IIoT เข้ามามีบทบาท

ด้วยเซนเซอร์ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน อุณหภูมิ กระแสไฟ และพฤติกรรมผิดปกติของเครื่องจักร IIoT จะช่วยให้โรงงานรู้ว่า

  • มอเตอร์ตัวไหนเริ่มสั่นผิดจังหวะ
  • ตลับลูกปืนตัวไหนร้อนเกินไป
  • ระบบใดทำงานหนักเกินช่วงเวลาปกติ

จากนั้น ข้อมูลที่ได้จะถูกประมวลผลเพื่อเตือนว่า “จุดนี้กำลังมีแนวโน้มเสีย” ทำให้โรงงานสามารถวางแผนล่วงหน้าเพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่เฉพาะจุด โดยไม่ต้องหยุดไลน์การผลิตทั้งหมด

ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ…

  • ลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงได้สูงสุดถึง 40%
  • ลดเวลาหยุดเครื่องโดยไม่จำเป็นได้ถึง 50%
  • ยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรได้หลายปี
    (อ้างอิงจากรายงานของ McKinsey Global Institute)

สำหรับโรงงานที่ต้องพึ่งพาการผลิตแบบต่อเนื่อง การป้องกันไม่ให้เครื่องเสีย ณ จุดวิกฤต คือสิ่งที่มีมูลค่าสูงมาก
และนั่นคือเหตุผลที่ Predictive Maintenance ไม่ใช่แค่การซ่อมที่ชาญฉลาดขึ้น แต่คือการลงทุนที่คืนทุนเร็วและลดความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชัดเจน


3. IIoT เก็บข้อมูลอะไรได้บ้าง?

ทุกจังหวะของสายการผลิตสามารถกลายเป็นข้อมูลอันมีค่าได้ ด้วยพลังของเซนเซอร์

โรงงานในยุคปัจจุบันแทบทุกแห่งล้วนมีเซนเซอร์ติดตั้งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ตรวจจับวัตถุ, ตรวจวัดอุณหภูมิ, ตรวจจับแรงดัน หรือเซนเซอร์นับจำนวนสินค้า

แต่ความแตกต่างคือ ในระบบแบบดั้งเดิม ข้อมูลจากเซนเซอร์เหล่านี้มักถูกใช้แค่ “ในขณะนั้น” เช่น
– หยุดสายพานเมื่อมีวัตถุมากองเต็ม
– เปิดพัดลมเมื่ออุณหภูมิสูง
– หรือปล่อยสินค้าต่อเมื่อชิ้นงานอยู่ในตำแหน่งที่กำหนด

ในขณะที่ IIoT มองเห็น “ศักยภาพของข้อมูล” จากเซนเซอร์ทั้งหมด
เพราะแม้แต่สัญญาณเปิด-ปิดธรรมดา (Digital Pulse) ก็สามารถบันทึกเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและแนวโน้มของเครื่องจักรในระยะยาวได้

ตัวอย่างข้อมูลที่สามารถเก็บได้จากเซนเซอร์ในระบบ IIoT ได้แก่:

  • จำนวนสินค้าและรอบการผลิต
  • เวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนของสายพาน
  • ค่าความสั่นสะเทือนหรืออุณหภูมิของเครื่องจักร
  • ตำแหน่งของวัตถุและระยะห่างที่เปลี่ยนไป
  • การสะท้อนแสง สี หรือพื้นผิวของผลิตภัณฑ์
  • ปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละช่วงเวลา

ไม่ว่าจะเป็นค่าตัวเลข สี สัญญาณเสียง ระยะ ความร้อน ความถี่ หรือรูปแบบการเคลื่อนไหว — ข้อมูลเหล่านี้สามารถวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการผลิตได้ทันที หรือใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงลึกในอนาคต

ข้อมูลที่ดี = การตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น
และในโลกของโรงงานอุตสาหกรรม ข้อมูลจาก IIoT คือหัวใจของการ “ผลิตให้คุ้ม ใช้ให้คุ้ม และโตให้เร็ว”


4. ความเข้าใจผิดเรื่องต้นทุนของ IIoT

เริ่มใช้ IIoT ได้ โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาล หรือรื้อระบบเดิมทิ้ง

หนึ่งในข้อกังวลที่ทำให้หลายโรงงานยังไม่กล้าขยับเข้าสู่ระบบ IIoT คือ
“มันต้องลงทุนสูงแน่เลย”
“โรงงานเราระบบเดิมหมด คงติดตั้งไม่ได้”
“ต้องเปลี่ยนเครื่องจักรทั้งโรงงานหรือเปล่า?”

ความเข้าใจเหล่านี้ถือเป็น ความเชื่อผิด ที่ทำให้หลายองค์กรพลาดโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดด

ความจริงคือ:

  • IIoT ไม่ใช่ระบบที่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด
  • โรงงานเดิม (หรือที่เรียกว่า brownfield site) สามารถติดตั้ง IIoT แบบ ต่อยอดจากระบบที่มีอยู่แล้ว ได้ทันที
  • ใช้เซนเซอร์เดิมได้ ใช้สายสัญญาณเดิมได้
  • ใช้เพียงอุปกรณ์เสริมบางอย่าง เช่น T-splitter, converter, และ controller ก็สามารถดึงข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ได้เลย

ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี Snap Signal ของ Banner เป็นโซลูชันแบบ “overlay” ที่สามารถเชื่อมต่อกับเซนเซอร์ทุกยี่ห้อ ทุกระบบ ไม่ว่าระบบในโรงงานจะเป็นแบบอนาล็อกหรือดิจิทัล ก็สามารถเก็บข้อมูล ส่งขึ้นคลาวด์ และแสดงผลแบบเรียลไทม์ได้อย่างราบรื่น

ข้อดีของแนวทางนี้คือ

  • ไม่ต้องหยุดสายการผลิตเพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์
  • ลงทุนเฉพาะจุดที่สำคัญก่อน ค่อย ๆ ขยายในอนาคต
  • ลดความเสี่ยงจากการลงทุนก้อนใหญ่

IIoT ไม่ได้เป็นแค่ “เทคโนโลยีอนาคต” แต่เป็นเครื่องมือที่เริ่มต้นได้วันนี้ ด้วยงบประมาณที่ควบคุมได้


5. ฮาร์ดแวร์สำคัญแค่ไหนในโลกของ IIoT

ถ้าไม่มีฮาร์ดแวร์ที่หน้างาน — ระบบ IIoT ก็ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

เวลาพูดถึง IIoT หรือโรงงานอัจฉริยะ หลายคนจะนึกถึง “ระบบคลาวด์”, “แดชบอร์ดสวย ๆ”, หรือ “การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI” แต่สิ่งหนึ่งที่มักถูกละเลยคือ ฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจริง ณ จุดที่เครื่องจักรกำลังทำงานอยู่

เพราะในความเป็นจริง การจะมีข้อมูลส่งขึ้นระบบได้ จำเป็นต้องมี “ผู้เก็บข้อมูล” ที่ไว้ใจได้ก่อนเสมอ — และนั่นคือบทบาทของ เซนเซอร์, ตัวแปลงสัญญาณ, ฮับ, และ คอนโทรลเลอร์ ซึ่งล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังสายการผลิต

ฮาร์ดแวร์เหล่านี้ต้อง…

  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อมในโรงงาน
  • ติดตั้งได้ทั้งกับเครื่องจักรใหม่และเก่า
  • เชื่อมต่อได้ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
  • ส่งข้อมูลได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย

ตัวอย่างจาก Banner ที่พร้อมสำหรับ IIoT ทันที เช่น

  • QM30VT3 เซนเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือนและอุณหภูมิ
  • DXMR90 คอนโทรลเลอร์ที่รวมสัญญาณจากหลายเซนเซอร์แล้วแปลงเป็นข้อมูล Ethernet
  • Snap Signal ชุดอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้โรงงานสามารถดึงสัญญาณจากเซนเซอร์เดิมออกมาใช้ได้เลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบ
Image Not Found

ทั้งหมดนี้คือรากฐานของ IIoT ที่จับต้องได้จริงในโรงงาน — ไม่ใช่แค่แนวคิดหรือภาพสวยงามบนสไลด์พรีเซนต์

ถ้าไม่มีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ดีและพร้อมใช้งาน ณ หน้างาน IIoT ก็เป็นได้แค่ไอเดียบนกระดาษ
และนั่นคือเหตุผลที่ Turck Banner Thailand มุ่งเน้นทั้งโซลูชันระดับระบบ และอุปกรณ์ระดับหน้างานให้ครบถ้วน


6. เริ่มต้นอย่างไรกับ IIoT ในโรงงานไทย

จากระบบเดิม สู่ Smart Factory ที่ขยายได้ในอนาคต — เริ่มต้นได้วันนี้

คำถามสำคัญที่ตามมาหลังจากเข้าใจประโยชน์ของ IIoT คือ

“แล้วถ้าอยากเริ่มใช้ IIoT ต้องทำยังไง?”

คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบทั้งหมดหรือทุ่มงบก้อนใหญ่ในครั้งเดียว แนวทางที่นิยมในปัจจุบันคือ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็ว แล้วค่อยขยายต่อเมื่อพร้อม

ตัวอย่างขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งาน IIoT อย่างเป็นระบบ ได้แก่:

  1. เลือกจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
    เช่น เครื่องจักรหลักที่หยุดบ่อย, พื้นที่ที่มีปัญหาซ้ำซาก, หรือกระบวนการที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ
  2. ติดตั้งเซนเซอร์เพื่อเก็บข้อมูล
    เช่น เซนเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือน (QM30VT3), อุณหภูมิ, กระแสไฟ หรือเซนเซอร์ที่มีอยู่เดิมในระบบ
  3. ใช้ Snap Signal เชื่อมสัญญาณจากเซนเซอร์เดิมออกมาเป็นข้อมูลที่ใช้ได้
    ไม่ต้องเปลี่ยนระบบเดิม แค่ “แยกสาย” แล้วส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบวิเคราะห์
  4. รวมข้อมูลจากหลายเซนเซอร์เข้ากับ Controller เช่น DXMR90
    เพื่อรวบรวมและแปลงข้อมูลเป็นรูปแบบ Ethernet หรือส่งขึ้น Cloud
  5. เลือกแพลตฟอร์มการแสดงผลที่เหมาะสม
    จะเป็น HMI, Dashboard บนคอมพิวเตอร์, หรือระบบคลาวด์ เช่น AWS, Azure หรือ Banner CDS (Cloud Data Services) ก็ได้
  6. ขยายระบบตามจังหวะธุรกิจ
    เมื่อเริ่มเห็นผลแล้ว สามารถขยายการใช้งานไปยังส่วนอื่นของโรงงานได้อย่างมั่นใจและคุ้มทุน

แนวคิดนี้คือการเปลี่ยน “โรงงานธรรมดา” ให้กลายเป็น “โรงงานอัจฉริยะ” ที่ค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ
เริ่มง่าย ขยายได้ และควบคุมต้นทุนได้ทุกขั้นตอน

Turck Banner Thailand พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบระบบ IIoT ที่เหมาะสมกับโรงงานของคุณ — ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม


พูดคุยกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเรา

พูดคุยกับทีมงาน
ผู้เชี่ยวชาญของเรา

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อสินค้าสามารถติดต่อเรา ฟรี!
เพิ่มเพื่อนใน LINE Official Account ของเราได้ที่ @turckbanner

Our Services – Turck Banner

มีสต๊อคในประเทศไทย
สามารถจัดส่งให้ลูกค้าได้ทันที

ยินดีให้คำปรึกษา
ถึงหน้างานลูกค้า ฟรี!

มีบริการติดตั้ง ดีไซน์ระบบ Automation

มีบริการ เทรนนิ่งการใช้งานสินค้า

มี Service
บริการหลังการขาย

มีคลิปวีดีโอ
มีสอนการตั้งค่าใช้งาน

Scroll to Top